ข่าวหวั่นเลื่อนเลือกตั้งเกินพ.ค.ฉุดลงทุนตลาดหุ้นไทย - kachon.com

หวั่นเลื่อนเลือกตั้งเกินพ.ค.ฉุดลงทุนตลาดหุ้นไทย
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
นายสมบัติ  นราวุฒิชัย  เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน  เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลจะเลื่อนการเลือกตั้งจากเดิมที่กำหนดไว้เป็นวันที่ 24 ก.พ.นี้ว่า  หากไม่เกิน 1- 3  เดือนจะไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก   เพราะนักลงทุนคาดว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.  แต่หากถ้าเกินเดือนพ.ค.จะมีผลต่อการลงทุน ซึ่งจะมากน้อยแค่ไหนนั้นจะต้องมีการประเมินกันอีกครั้ง    โดยเฉพาะนักลงทุนในประเทศที่คาดหวังว่าการเลือกตั้งจะมีผลต่อดัชนีราคาหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น ส่วนนักลงทุนต่างประเทศเชื่อว่าจะไม่มีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายมากนัก  เพราะหลังจากที่ก่อนหน้านี้ในช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมาต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง 

นอกจากนี้จากการสำรวจความคิดห็นผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทยในหุ้นไทยในปีนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองว่า  ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในระยะสั้นเป็นเรื่องการเลือกตั้งของไทย   รองลงมาคือ สงครามการค้า และทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ  แต่เมื่อมองภาพที่ยาวขึ้นไปถึงสิ้นปี นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ระหว่างปีมีค่าเฉลี่ยที่ 1,529 จุด ส่วนจุดสูงสุดเฉลี่ยที่ ระดับ 1,834จุด  
 
ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถาม 45.45%  ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,801 – 1,900 จุ ด และ มีผู้ตอบแบบสอบถาม 40.91%  ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,701 – 1,800  จุด ขณะที่ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 62 มีค่ำเฉลี่ยอยู่ที่  1,782 จุด  ด้านปัจัยบวกที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทย คือ การเมืองในประเทศ ทั้งแนวโน้มการเลือกตั้งและเศรษฐกิจภายในประเทศ   รองลงมาเป็นงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศสู่ตลาดทุนไทย และกำไรของบริษัทจดทะเบียน ส่วนปัจจัยลบต่อตลาดทุนไทย ในระยะสั้น ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย รองลงมา คือปัจจัยด้านการเมืองใน ต่างประเทศ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (เฟด)  ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยในประเทศไม่มีผลต่อทิศทางราคาหุ้นในปีนี้มากนัก    โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ 48.15% คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการ  0.25%  และสัดส่วน 33.33% มองว่าจะปรับขึ้น  0.50%

อย่างไรก็ตาม  กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาด เฉลี่ยที่ 115.12  บาท (กรอบที่ 115-120 บาท)  คาดว่า  EPS Growth   หรือการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 7.35%   ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐหรือบอนด์ยิวด์เริ่มปรับตัวลงอายุ 10 ปี จากเดิมในเดือนพ.ย.อยู่ที่ 3.2% ปัจจุบันอยู่ที่ 2.6% สะท้อนว่าธนาคารกลางสหรัฐจะไม่เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้