ข่าวกรุงไทยลุยตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ - kachon.com

กรุงไทยลุยตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
นางชวินดา  หาญรัตนกูล  กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย   เปิดเผยว่า  บริษัทเปิดขาย 2 กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 213  ( KTFF213)    อายุโครงการ 3 เดือน ผลตอบแทนประมาณ1.60%ต่อปี  เน้นลงทุนในเงินฝากประจำแบงก์พาณิชย์ในจีน ธนาคารการเกษตรแห่งประเทศจีน การ์ต้าเนชั่นแนลแบงก์  แบงก์ ออฟ คอมมิวนิเคชั่นส์  ผลตอบแทนประมาณ1.6 %ต่อปี  ส่วนและกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 208( KTFF208)  อายุโครงการ12 เดือน  เสนอขายตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 29 ม.ค.นี้ เน้นลงทุนในยูเนียน เนชั่นแนล แบงก์ อาบูดาบี AL Khalij Commercial  Bank , AL Ahai Bank  , Commercail Bank PQSC  และ MTN  ของ Mashreq Bank   ผลตอบแทนประมาณ 2 %ต่อปี  กำหนดลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท

สำหรับในปีนี้อัตราดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกขาขึ้น แต่การปรับขึ้นลดลงตามเงินเฟ้อที่ชะลอตัว และเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจะถูกกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และความไม่แน่นอนอื่นจากปัจจัยต่างประเทศ ขณะที่ผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางการขยายตัวเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยโลก  ซึ่งมองว่าอัตราผลตอบแทนในต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้เร็วกว่าตราสารหนี้ในประเทศ  ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศมากขึ้น

"  ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกภายใต้แรงกดดันจากความเสี่ยงสำคัญกรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ด้านความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อยังคงได้รับแรงกดดันหลักจากทิศทางของราคาน้ำมัน ซึ่งบริษัทคิดว่าในปีนี้ราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากจากปีก่อน จึงเป็นผลดีต่อการลงทุนในตราสารหนี้ในภาพรวม"

ปัจจัยด้านการใช้นโยบายการเงินทั้งไทยและสหรัฐฯ แม้จะเป็นช่วงขาขึ้น  แต่การปรับขึ้นคงไม่มาก  เพราะมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างประเทศ ส่วนการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การระดมทุนในรูปแบบต่างๆ ภายในประเทศมีผลต่อสภาพคล่องทางการเงินในระบบ แต่ยังคงดูว่ามีความต่อเนื่องหรือไม่ หลังจากได้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง  ส่วนค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว หรืออาจอยู่ในระดับใกล้เคียงสิ้นปี 61 ที่ประมาณ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจากมูลค่าการส่งออกและท่องเที่ยว  ส่วนอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศ มีการปรับตัวในลักษณะ  Twist  โดยตราสารอายุต่ำกว่า 3 ปี  อัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้น  ในขณะที่ตราสารอายุคงเหลือ 4-12 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง  ตามการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติจากตราสารระยะสั้นไปตราสารระยะกลางถึงยาว