หวังเรทติ้งไทยรับจัดอันดับใหม่ หลังการเมืองมีเสถียรภาพ
เศรษฐกิจ
“ หวังรัฐบาลใหม่จะยังคงดำเนินนโยบายต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า ไม่ว่าพรรคใดจะมาเป็นรัฐบาล โดยโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ โดยมีรัฐธรรมนูญใหม่ ที่อนุญาตให้โครงการลงทุนต่างๆ ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้มองว่าเสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขึ้น ประกอบกับ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของไทย จะทำไทยได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม หลังจากการเลือกตั้งต้องประเมินเศรษฐกิจอีกครั้ง เนื่องจากต้องรอดูนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่า จะเป็นรัฐบาลผสม หรือ รัฐบาลพรรคเดียว ส่วนเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะอยู่ 2 % ส่วนนโยบายการเงิน มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดก็จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งเช่นกัน เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความกังวลเรื่องความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจากการคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำเป็นเวลานาน
สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุลลดลงมาอยู่ที่ 5% ของจีดีพีจากเดิมอยู่ที่ 7-10% ของจีดีพี เนื่องจากมีการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น แม้ว่าส่งออกจะลดลง ส่วนรายได้ท่องเที่ยวปีนี้อาจไม่มากนัก คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทย 40 ล้านคน ขณะที่ค่าเงินบาทสิ้นปีนี้อยู่ที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ช่วงกลางปี 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุที่ค่าเงินบาทอ่อนส่วนหนึ่งเกิดจากเฟดขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินไหลออกไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง