ข่าว7พรรคการเมืองชูนโยบายเศรษฐกิจ-ลดเหลื่อมล้ำสังคม - kachon.com

7พรรคการเมืองชูนโยบายเศรษฐกิจ-ลดเหลื่อมล้ำสังคม
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สภาธุรกิจตลาดทุนไทยได้จัดสัมมนา "นโยบายเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยภายใต้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง" โดยได้เชิญ 7 พรรคการเมืองร่วมแสดงวิสัยทัศน์  ประกอบด้วยพรรคชาติไทยพัฒนา นำโดยนายสุวัจน์  ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา  นายกรณ์ จาติกวณิช  ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์   นายอุตตม  สาวนายน  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ   นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  นายอนุทิน ชาญวีรกูล  หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ และนายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา

นายสุวัจน์  กล่าวว่า  เศรษฐกิจไทยและตลาดทุนมีความสำคัญ  โดยเน้นเรื่องเศรษฐกิจมหภาคและรากหญ้า  ซึ่งในช่วงปี 43-60 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 4% และปี 61 เติบโต 3.8% ถือว่าโตรั้งสุดท้ายของอาเซียน  แต่ถ้าอยากให้โตต่อเนื่อง 4.2% จะต้องมีภูมิคุ้มกันในเรื่องของวินัยการเงินการคลัง หนี้สาธารณะ และการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ  รวมถึงเน้นอุตสาหกรรมเกษตร เพราะเป็นจุดแข็งของสังคมไทย  และการท่องเที่ยวขับเคลื่อนโครงสร้างเศรษฐกิจ  ตลอดจนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่รูปแบบรัฐและเอกชน (พีพีพี)มากขึ้น ลดเงินลงทุนภาครัฐลง  ขยรายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เช่น  แอฟริกา, ยุโรปตะวันออก

ขณะเดียวกัน จะสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรม ผ่านการใช้เทคโนโลยี ทั้งเอไอ โรบอท บิ๊กดาต้ามาช่วยประกอบธุรกิจ ส่วนตลาดทุนจะผลักดันให้บริษัทใหม่ ๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้น สนับสนุนเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ หรือบริษัทขนาดเล็ก เข้ามาระดมทุนในตลาดทุนที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดหุ้นไทย ด้วยการนำงานวิจัยและบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ออกมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อให้มีความเป็นสากลมากขึ้น

นายกรณ์  กล่าวว่า ใน 4 ปีข้างหน้า วางเป้าหมายตลาดทุนไทย 5 เรื่อง ได้แก่ ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 2,500 จุด สะท้อนถึงความสำเร็จของเศรษฐกิจ, ตั้งเป้าหมายบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีผลประกอบการที่มาจากการค้ากับต่างประเทศ 50%, เพิ่มการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในตลาดทุน, เพิ่มบริษัทที่สร้างรายได้ด้วยมูลค่าของตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยความได้เปรียบจากการมีอำนาจผูกขาด หุ้นสัมปทาน หรืออาศัยใบอนุญาต และส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจ และเพิ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ แห่งที่ 2 หรือตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซี)

 นายสัมพันธ์  กล่าวว่า ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความเลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานาน และรายได้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงภาคเกษตรกรยังไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้นโยบายเศรษฐกิจเน้นในเรื่องการเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น  ส่วนคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนหากเป็นรัฐบาลจะเพิ่มสวัสดิการให้เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากที่ได้รับสวัสดิการจากกระทรวงแรงงานฯ และประกันสังคม  นอกจากนี้คนไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทั้งที่มีรายได้และไม่มีรายได้ให้มีสวัดิการที่ดีขึ้น  

นายกิตติรัตน์    กล่าวว่า  นโยบายเศรษฐกิจของในพรรคเพื่อไทยยังคงนโยบาย ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส โดยเฉพาะเรื่องรายจ่ายทำผ่านในรูปแบบของภาษี ที่แม้ว่าทำแล้วจะทำให้รายได้รัฐลดลงไป แต่ถือเป็นการเพิ่มรายได้ประชาชาชน หรือแบ่งเบารายจ่ายของภาคประชาชน และสิ่งที่สำคัญคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนฐานรากมีรายได้ เพราะถือเป็นกำลังสำคัญ ในการขับเคลื่อนประเทศได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้จะต้องเข้าไปรดูแลราคาสินค้าเกษตร ทั้งเรื่องข้าว อ้อย มันสำปะหลัง เป็นต้น  และพรรคพร้อมที่จะสานต่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงปรับกฎเกณฑ์และระเบียบที่สำคัญ เพื่อให้การดำเนินการมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น 

นายอุตตม  กล่าวว่า ตลาดทุนมีบทบาทต่อธุรกิจเอสเอ็มอี หากมีกองทุนที่เข้าไปลงทุนในวิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่สตาร์ทอัพถึงเอสเอ็มอี จะต้องผลักดันให้เกิดการต่อยอดเป็นกองทุนรวมขนาดใหญ่ เพื่อนำไปลงทุนในกองทุนเล็กต่อ ถือเป็นการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน และต้องปลดล็อคศักยภาพของตลาดทุน เพราะความร่ำรวยอยู่ที่ตลาดทุนมหาศาล หากนำมาใช้บ้าง จะทำให้ตลาดทุนเติบโต และอยากให้ที่ปรึกษาทางการเงิน (เอฟเอ) ออกไปช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบ้าง เพราะบางรายยังคงต้องการความช่วยเหลือในการฟื้นฟูกิจการ

นายอนุทิน  กล่าวว่า นโยบายของพรรค ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในทุกด้าน สร้างความเท่าเทียม เพื่อทำให้ประชาชนทุกคนเลี้ยงปากท้องได้บนความพอเพียง ส่วนนโยบายด้านตลาดทุนต้องทำให้คนเข้าถึงตลาดทุนให้ได้ ผ่านการควบคุมและดูแลให้อยู่บนกฎหมาย กฎระเบียบอันเดียวกัน

นายพิชัย  กล่าวว่า  เน้นในเรื่องการพัฒนาด้านเทคโลยี  เนื่องจากไทยมีการปรับตัวเรื่องนี้น้อย ซึ่งต้องก้าวก่อนโลก เพื่อปูพื้นฐานไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต  พร้อมเน้นการกระจายรายได้สู่รากหญ้า และให้ผ่านพ้นการติดกับดักรายได้ปานกลาง และส่งเสริมให้ไทยเป็นศูลย์กลางในอาเซียน ซึ่งอยากเห็นตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี