ข่าวคาดกนง.ตรึงดอกเบี้ย6ก.พ.นี้ รอประเมินทิศทางศก. - kachon.com

คาดกนง.ตรึงดอกเบี้ย6ก.พ.นี้ รอประเมินทิศทางศก.
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า คาดว่า  ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 6 ก.พ.นี้  คาดว่าคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ในการประชุมครั้งนี้หลังจากที่ได้มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่เริ่มมีสัญญาณชะลอลง คงส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงินติดตามประเมินพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด แม้ว่าในภาพรวมของการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะยังคงสอดคล้องกับการเติบโตตามศักยภาพ แต่คงต้องยอมรับว่าโมเมนตัมการการขยายตัวที่เริ่มแผ่วลงลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 61คงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ กนง. คงจะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดอีกระยะ เพื่อรอดูทิศทางของเศรษฐกิจไทยที่คงจะมีความชัดเจนขึ้นในระยะข้างหน้า ก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินครั้งต่อไป

ดังนั้นต้องยอมรับว่าปัจจัยความไม่แน่นอน ที่เข้ามากระทบกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้นมาจากปัจจัยภายนอก อันเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ยากทั้งการส่งออกที่ชะลอตัวซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศส่งออกหลักของโลก รวมทั้ง ปัจจัยชั่วคราวจากการปรับลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน อย่างไรก็ดี หากพิจารณาปัจจัยในประเทศยังพบว่า การใช้จ่ายครัวเรือนยังโตได้ในระดับสูง ส่วนหนึ่งมาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชนที่ยังโตต่อเนื่อง ขณะที่การใช้จ่ายของภาครัฐยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ กนง. คงให้น้ำหนักการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยหากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเติบโตใกล้เคียงระดับ 4% ตามที่ได้ประเมินไว้ กนง. อาจจะพิจารณา โอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 62 แต่หากความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงินตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ตลอดทั้งปีนี้

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปีนี้เผชิญกับปัจจัยไม่แน่นอนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงภายนอกจากความไม่แน่นอนด้านการค้า และค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง ซึ่งมองว่าข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจจะไม่ได้ข้อยุติที่เป็นรูปธรรม ก่อนวันที่ 2 มี.ค. 62 เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายมีมุมมองที่แตกต่างกันค่อนข้างมากในการคลายความขัดแย้ง ทำให้สินค้าส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ ยังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเป็น 25% หรือในกรณีที่การเจรจาการค้ามีความก้าวหน้าสหรัฐฯ พอประมาณ สหรัฐฯ อาจจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจาก จีนที่ระดับ 10% จนกว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ทำให้มองว่าแรงกดดันต่อการส่งออกไทยน่าจะคงมีอยู่

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าจากปัจจัยพื้นฐานเสถียรภาพต่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่ง รวมทั้ง การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมที่เข้ามากระทบภาคต่างประเทศโดยเฉพาะการส่งออก