แนะเก็บหุ้นช่วงพักฐานหลังตรุษจีนดัชนีขยับขึ้น
เศรษฐกิจ
ทั้งนี้หากพิจารณาจากสถิติในช่วง 8 ปีย้อนหลัง (ตรุษจีนปี 54-61) พบว่า หลังผ่านพ้นช่วงเทศกาลตรุษจีนไปแล้วมีโอกาสถึง 60% ที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นและกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งจากข้อมูลพบการปรับขึ้นในระดับ 1% ในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์แรกนับตั้งแต่ตรุษจีน และปรับขึ้นที่ระดับ 2.4% ในช่วง 1 เดือน และปรับขึ้น 4.1% ในช่วง 2 เดือน ดังนั้น ในช่วงต้นเดือนก.พ.ซึ่งเป็นช่วงหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนของตลาดหุ้นหลายแห่ง จึงเป็นช่วงจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อสะสม โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์จากปัจจัยบวกข้างต้น และเป็นหุ้นที่คาดว่างบจะออกมาดี รวมถึงคาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3%
ส่วนมุมมองตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกในเชิงเทคนิคประเมินว่าหุ้นไทยจะปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดได้ในเดือนเม.ย.ที่ 1,700 จุด เพราะเป็นช่วงที่ตลาดรับรู้ข่าวเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่บริษัทจดทะเบียนจะทยอยประกาศจ่ายเงินปันผล และเงินทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้า ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนขายทำกำไรในช่วงเวลาดังกล่าว และรอดูตัวเลขกำไรบริษัทจดทะเบียนว่าจะดีขึ้นกว่าปีก่อนหรือไม่
“ในเชิงเทคนิคระดับดัชนีหุ้นไทยที่ 1,700 จุด เป็นจุดที่ผ่านยาก แต่ถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลังประกาศออกมาดีก็มีโอกาสที่ดัชนีจะไปแตะถึง 1,750-1,850 จุดได้ในช่วงปลายปี ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย ซึ่งประเมินว่าจะกลับเข้ามาซื้อประมาณ 1 แสนล้านบาทในปีนี้ หลังจาก 6 ปีก่อนหน้าขายไปถึง 6.8 แสนล้านบาท ”
สำหรับในเชิงพื้นฐานประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยปลายปีจะอยู่ที่ 1,750 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาหุ้นหลายประเทศที่เข้าใกล้ค่าเฉลี่ย ขณะที่ธนาคารกลางต่างๆ มีแนวโน้มดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งประเมินว่าเฟด จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติมีโอกาสเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทย
นอกจากนี้ปัจจัยลบที่ต้องจับตามอง คือเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน และล่าสุดฝ่ายวิจัยบล.ทิสโก้ยังได้ปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้มาอยู่ที่ 112.69 บาทต่อหุ้น ลดลงจากประมาณการณ์ต้นปีประมาณ 2.15% แต่เพิ่มขึ้นจากปี61 ที่คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรอยู่ที่ 106.82 บาทต่อหุ้น สาเหตุที่ปรับลดส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งกดดันกำไรสุทธิในกลุ่มส่งออก ขณะเดียวกันราคาพลังงานก็ปรับลดลงด้วย
ด้านราคาน้ำมันในปีนี้ คาดว่าราคาน้ำมัน WTI และ Brent จะเฉลี่ยอยู่ที่ 53-62 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันปีก่อน ด้านราคาทองคำมองแนวต้านราคาปีนี้ไว้ที่ 1,380 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แนวรับที่ 1,275 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยหนุนจากเฟดอาจหยุดขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่หุ้นโลกผันผวน และเศรษฐกิจในปี 63 จะเริ่มตึงตัวขึ้นจากปีนี้