ข่าวผู้ว่าธปท.ชี้ปัจจัยภายนอกกดเงินบาทแข็งค่า - kachon.com

ผู้ว่าธปท.ชี้ปัจจัยภายนอกกดเงินบาทแข็งค่า
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า  ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วในบางช่วง ธปท.ได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด  แต่ไม่พบการเคลื่อนไหวผิดปกติ   ซึ่งเงินทุนที่ไหลเข้าไทยเป็นเงินที่มาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยเฉพาะการค้าและบริการ จากนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาเที่ยวไทยตั้งแต่ปลายไตรมาส 4 ปี 61 ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  และเดือนธ.ค. เกินดุล 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

" หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็วมากจากการเก็งกำไร หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%  ทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งพักเงินของนักลงทุน  โดยตั้งแต่ต้นปี 62 จนถึงปัจจุบันนักลงทุนขายสุทธิในตลาดพันธบัตรมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  โดยเฉพาะเป็นพันธบัตรระยะสั้น ขณะที่มีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นซื้อสุทธิ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมปริมาณเงินทุนไหลออกสุทธิ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

นอกจากนี้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 1.75% ต่ำกว่าสหรัฐอยู่ที่  2.50%  และยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย 6%  ฟิลิปปินส์ 6%  เวียดนาม 6.25%  มาเลเซีย 3.25%  อย่างไรก็ตาม  ไม่สามารถกำหนดค่าเงินบาทให้คงที่ได้ เพราะปัจจัยต่างประเทศมีผลกระทบต่อค่าเงินบาทมากและมีแนวโน้มผันผวนจากสถานการณ์การเมืองในสหรัฐ เศรษฐกิจโลก และการเมืองระหว่างประเทศ  

ทั้งนี้เห็นว่าในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า ไทยควรเร่งเรื่องของการลงทุน นำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาวะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและลดต้นทุนการนำเข้าสินค้าทุนได้ พร้อมปรับคุณภาพสินค้าให้แข่งขันกับคู่แข่งได้ ขณะเดียวกันผู้ส่งออกควรใช้สกุลท้องถิ่นในการค้าขายต่างประเทศ เนื่องจากมีความผันผวนน้อยกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐ  และปัจจุบันผู้ส่งออกใช้สกุลเงินดอลลาร์ในการค้าขายต่างประเทศ 70-75 %  ตลอดจนทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อรองรับความผันผวนในอนาคต  

"  หลังจากการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐ มุมมองของนักลงทุนเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเปลี่ยนไป จากหลายปัจจัยทั้งจากเหตุการณ์ชัตดาวน์ ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ การที่นักลงทุนเทขายหุ้นจากมุมมองความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป และการที่ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าเดิม ในขณะที่ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยังไม่คืบหน้า ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับลดลง"