เอกชนวิตกเศรษฐกิจแย่ฉุดดัชนีฯต่ำสุดรอบ 4 เดือน
เศรษฐกิจ
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนม.ค. 62 จากการสำรวจผู้นำหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ พบว่า อยู่ในระดับ 48 จากเดิมธ.ค.อยู่ระดับ 48.4 นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนและดัชนีฯ ไม่เคยอยู่เหนือกว่าระดับปกติที่ระดับ 50 และหากพิจารณารายภาคจะพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยมีเฉพาะส่วนของกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนที่เหลือดัชนีความเชื่อมั่น ฯ ลดลงทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 46.0 ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ส่วนอนาคตในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 49.9 ซึ่งค่าดัชนีทุกรายการต่ำกว่าปกติ และต่ำสุดครั้งแรกในรอบ 13 เดือนของการสำรวจ
ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาที่ต้องการให้ดำเนินการ ได้แก่ การกระตุ้นและการพัฒนาเศรษฐกิจ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคและคมนาคมในประเทศ การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ มาตรการเพิ่มรายได้และกำลังซื้อประชาชน การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการชี้แจงการใช้งบประมาณของภาครัฐเพื่อความโปร่งใส
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ดัชนีฯ อยู่ในระดับ 48.0 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้าและไม่โดดเด่น และยังกังวลทิศทางในอนาคต โดยภาคการเกษตรยังมีสัญญาณแย่ลง แต่คาดหวังว่าการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือนมี.ค. น่าจะมีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้นและช่วยพยุงเศรษฐกิจในประเทศ แต่การสำรวจครั้งนี้จัดทำเดือนม.ค.ยังไม่มีปัจจัยนี้เข้ามาช่วย ขณะที่การท่องเที่ยวม.ค.ที่ผ่านมา พบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนยังไม่กลับมาท่องเที่ยวไทย แต่คาดว่าเดือนก.พ.นี้นักท่องเที่ยวจีนน่าจะกลับมาทำให้การท่องเที่ยวคึกคัก และจากการที่ราคาสินค้าเกษตรในภาคใต้ยังไม่ดี ขณะที่นักท่องเที่ยวยังไม่กลับมาเต็มที่ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยภาคใต้ต่ำสุดในรอบ 13 เดือน แต่หวังว่าเดือนก.พ.จะดีขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยว่าจะปรับดีขึ้นหรือแย่ลง
สำหรับประเด็นที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ สงครามการค้าทำให้ดัชนีฯ ติดลบต่อเนื่อง 3 เดือนตั้งแต่พ.ย. 61-ม.ค. 62 ทำให้ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดภายในประเทศมีสัญญาณซึมตัว แต่บรรยากาศไม่ถือว่าผิดปกติรุนแรง ยังมีความเข้มแข็งในภาคอุตสาหกรรมยังเกินระดับ 50 ที่เป็นค่าปกติทั้งของภาคกลาง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานครและปริมลฑล อย่างไรก็ตาม มองว่าหากสงครามการค้าไม่รุนแรงไปกว่านี้ และอังกฤษรอมชอมกรณีเบร็กซิท และการใช้จ่ายในประเทศกลับมาจากเงินสะพัดช่วงเลือกตั้ง และพระราชพิธีสำคัญในประเทศไทย คาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินสะพัด และหากรัฐบาลใหม่เร่งการใช้จ่ายงบลงทุนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงอยากให้ดูแลค่าเงินบาทเพื่อไม่ให้แข็งค่ามากเกินไปจนกระทบส่งออกปีนี้คาดว่าเติบโต 4% ส่วนจีดีพีเติบโต 4%