เอกชนห่วงบาทแข็งฉุดรายได้ส่งออกวูบ
เศรษฐกิจ
ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการเสนอราคา มาตรการกีดกันทางการค้าจากต่างประเทศ และความล่าช้าในการเจรจาการค้าเสรีและการต่อรองสิทธิพิเศษทางด้านภาษีกับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น การเจรจาระหว่างสหภาพยุโรป (อยู) และไทย ขณะที่เวียดนามกำลังจะทำ เอฟทีเอ เวียดนาม- อียู และข้อกฎหมายภายในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการส่งออก รวมทั้งการถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) จากประเทศญี่ปุ่นภายเดือนเม.ย. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไทยถูกตัดสิทธิ์จีเอสพีจากทั้งอเมริกาและยุโรป ดังนั้นภาครัฐควรเร่งเจรจาเปิดเสรีทางการค้าเพิ่มขึ้น เพราะจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าไปกลุ่มประเทศคู่ค้าที่เริ่มทยอยตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับไทยเพิ่มมากขึ้น เช่น ไทย-อียู ไทย-สหราชอาณาจักร RCEP และ CPTPP เป็นต้น
ทั้งนี้ สรท.เสนอแนะรัฐบาลใหม่ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่ให้แข็งค่าสูงกว่าคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญ ขณะที่ผู้ประกอบการต้องบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมเร่งเปิดตลาดใหม่ทดแทน เพราะเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณถดถอยและความไม่แน่นอนของสงครามทางการค้า การหาตลาดใหม่จะช่วยกระจายความเสี่ยงและหาตลาดรองรับสินค้า หรือการเปิดกลุ่มผู้บริโภครายใหม่ให้เหมาะสมแต่ละกลุ่มสินค้า
นอกจากนี้ภาครัฐควรเร่งเจรจาเปิดเสรีทางการค้าเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากไทยเริ่มถูกปฏิเสธในการใช้สิทธิ์จีเอสพี อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสหรัฐ อียู ญี่ปุ่น ซึ่งการเจรจาเอฟทีเอถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าไปกลุ่มประเทศคู่ค้าที่เริ่มทยอยตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับไทยเพิ่มมากขึ้น เช่น ไทย-อียู ไทย-สหราชอาณาจักร RCEP และ CPTPP เป็นต้น
สำหรับการส่งออกเดือนม.ค.62 มีมูลค่า 18,994 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 5.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้าม.ค.62 อยู่ที่ 23,026 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้14% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 4,032 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 140,561 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 2.9% กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หดตัว 5.9 % ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการขยายตัว ได้แก่ นาฬิกาและส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป)