ตลาดหุ้นไทยผันผวน ลุ้นผลวินิจฉัยศาลรธน.
เศรษฐกิจ
สำหรับหุ้นที่หลีกเลี่ยงเป็นหุ้นส่งออกอาจได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้าที่ยืดเยื้อ และมองค่าเงินบาทระยะกลางและยาวจะแข็งค่าขึ้น กลุ่มรถยนต์โตมามากแล้ว ตลาดในสหรัฐฯจีนยุโรปชะลอตัวลง โฟกัสในบ้านเรากำลังซื้อเริ่มมาดีสินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้น และกลุ่มลงทุนการประมูลมาแล้ว อย่างไรก็ตาม มองดัชนี 1,800 จุด อัพไซด์ไม่ได้สูงจากปัจจุบัน 9-10% เฉพาะเดือนมี.ค.แกว่งพักฐานออกข้าง
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีซีมิโก้ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยผันผวนนักลงทุนรอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดียุบพรรคการเมืองในวันนี้ โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 8 วันติด ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า และหุ้นขนาดใหญ่ไม่ค่อยขยับเท่าไหร่และบางกลุ่มมีทั้งบวกและลบกระจัดกระจาย ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรเชื่อว่าไม่มีผลต่อตลาดมากนัก เนื่องจากนักลงทุนรอดูผลการเลือกตั้งมากกว่า นอกจากนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด ส่วนสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนต้องรอติดตามกันอีกครั้งว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร ดังนั้นในช่วงนี้แนะนำถือเงินสดไว้ก่อนรอดูว่าดัชนีจะอยู่ตรงจุดไหน และเชื่อว่าหลังเลือกตั้งต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาลงทุน มองแนวรับที่ 1,616 จุด แนวต้านที่ 1,632 จุด
นายวิจิตร อารยะพิพิษฐ ผู้อำนวยการนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นระยะสั้นผันผวนเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกประเทศและภายในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองต้องติดตามการวินิจัยศาลรัฐธรรมนูญต่อพรรคไทยรักษาชาติว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ขณะที่ต่างประเทศดูการพบปะระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในวันที่ 27 มี.ค.นี้ว่าจะสามารถปลดล็อคเรื่องสงครามทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศลงได้หรือไม่
ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนหากดัชนีย่อตัวลงมีโอกาสเข้าซื้อได้ กลุ่มหลักเกี่ยวข้องในประเทศ เช่น การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว การบริโภคในประเทศดีขึ้น รวมถึงกลุ่มโรงกลั่น และปิโตรเคมี หรือหุ้นขนาดใหญ่เพราะนักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อและค่อย ๆ ทยอยสะสม และที่น่าสนใจอีกคือหุ้นปันผล
"ตลาดหุ้นชอบความชัดเจนและความมีเสถียรภาพ ซึ่งต้องดูต่อไปหลังเลือกตั้งราบรื่นหรือไม่ ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมสามารถคุมสส.และสว.ได้อาจทำให้ทิศทางนิ่งขึ้น อาจทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยมองดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,730 จุด คาดว่าดัชนีมีโอกาสทำจุดสูงสุดในไตรมาส 2 ปีนี้"
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงเป็นเรื่องสงครามทางการค้า โดยปีที่แล้วกดดัชนีติดลบไปกว่า 10% ถ้ายืดเยื้อและมีความรุนแรงก็จะกระทบต่อตลาดทุนและเงินทุนเคลื่อนย้าย นอกจากนี้การปรับน้ำหนักหุ้นเข้าคำนวณในดัชนีเอ็มเอสซีไอของหุ้นจีนเพิ่มทำให้ตลาดเกิดใหม่ถูกลดบทบาทลงจะกดดันครึ่งปีหลังการลงทุนบ้านเราแผ่วลง แต่เชื่อว่าไม่มีนัยสำคัญมากนัก