ข่าวตลาดหุ้นไทยผันผวน ลุ้นผลวินิจฉัยศาลรธน. - kachon.com

ตลาดหุ้นไทยผันผวน ลุ้นผลวินิจฉัยศาลรธน.
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
นางจิตรา อมรธรรม  รองกรรมการผู้จัดการ  ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์   บล.ฟินันเซียไซรัส  เปิดเผยว่า  การยุบพรรคการเมืองจะกระทบ sentiment ช่วงสั้นมากกว่า เพราะหลังจากมีการเลือกตั้งแล้วเสร็จก็ต้องดูว่าจะมีปัจจัยแวดล้อมอื่นอีกหรือไม่    โดยในช่วงนี้ต่างชาติยังขายหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นผลมาจากการ โดยเอ็มเอสซีไอ ประกาศปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนในการคำนวณดัชนีเอ็มเอสซีไอจาก 5 % เป็น 20% ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังปรับพอร์ตการลงทุนอยู่ทำให้เงินทุนไหลเข้าตลาดจีน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นจีนโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่น นอกจากนี้ผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทจดทะเบียนต่ำกว่าคาด และระยะสั้นไม่มีปัจจัยใหม่ ประกอบกับในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มาเดือนมี.ค.ยังไม่มีปัจจัยใหม่ทำให้ตลาดหุ้นพักฐานก่อนที่จะไปต่อ



สำหรับหุ้นที่หลีกเลี่ยงเป็นหุ้นส่งออกอาจได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้าที่ยืดเยื้อ และมองค่าเงินบาทระยะกลางและยาวจะแข็งค่าขึ้น กลุ่มรถยนต์โตมามากแล้ว ตลาดในสหรัฐฯจีนยุโรปชะลอตัวลง โฟกัสในบ้านเรากำลังซื้อเริ่มมาดีสินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้น และกลุ่มลงทุนการประมูลมาแล้ว  อย่างไรก็ตาม มองดัชนี 1,800 จุด อัพไซด์ไม่ได้สูงจากปัจจุบัน 9-10% เฉพาะเดือนมี.ค.แกว่งพักฐานออกข้าง   

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม  ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บล.เคทีซีมิโก้   กล่าวว่า  ภาวะตลาดหุ้นไทยผันผวนนักลงทุนรอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดียุบพรรคการเมืองในวันนี้  โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 8 วันติด  ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า และหุ้นขนาดใหญ่ไม่ค่อยขยับเท่าไหร่และบางกลุ่มมีทั้งบวกและลบกระจัดกระจาย  ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรเชื่อว่าไม่มีผลต่อตลาดมากนัก เนื่องจากนักลงทุนรอดูผลการเลือกตั้งมากกว่า  นอกจากนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด  ส่วนสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนต้องรอติดตามกันอีกครั้งว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร   ดังนั้นในช่วงนี้แนะนำถือเงินสดไว้ก่อนรอดูว่าดัชนีจะอยู่ตรงจุดไหน และเชื่อว่าหลังเลือกตั้งต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาลงทุน  มองแนวรับที่ 1,616 จุด แนวต้านที่ 1,632 จุด 

นายวิจิตร  อารยะพิพิษฐ  ผู้อำนวยการนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย  บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า   ตลาดหุ้นระยะสั้นผันผวนเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกประเทศและภายในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองต้องติดตามการวินิจัยศาลรัฐธรรมนูญต่อพรรคไทยรักษาชาติว่าจะออกมาในรูปแบบไหน  ขณะที่ต่างประเทศดูการพบปะระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในวันที่ 27 มี.ค.นี้ว่าจะสามารถปลดล็อคเรื่องสงครามทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศลงได้หรือไม่  



ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนหากดัชนีย่อตัวลงมีโอกาสเข้าซื้อได้ กลุ่มหลักเกี่ยวข้องในประเทศ เช่น การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว การบริโภคในประเทศดีขึ้น  รวมถึงกลุ่มโรงกลั่น และปิโตรเคมี   หรือหุ้นขนาดใหญ่เพราะนักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อและค่อย ๆ ทยอยสะสม  และที่น่าสนใจอีกคือหุ้นปันผล

"ตลาดหุ้นชอบความชัดเจนและความมีเสถียรภาพ ซึ่งต้องดูต่อไปหลังเลือกตั้งราบรื่นหรือไม่  ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมสามารถคุมสส.และสว.ได้อาจทำให้ทิศทางนิ่งขึ้น อาจทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น  โดยมองดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,730 จุด  คาดว่าดัชนีมีโอกาสทำจุดสูงสุดในไตรมาส 2 ปีนี้" 

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงเป็นเรื่องสงครามทางการค้า โดยปีที่แล้วกดดัชนีติดลบไปกว่า 10% ถ้ายืดเยื้อและมีความรุนแรงก็จะกระทบต่อตลาดทุนและเงินทุนเคลื่อนย้าย  นอกจากนี้การปรับน้ำหนักหุ้นเข้าคำนวณในดัชนีเอ็มเอสซีไอของหุ้นจีนเพิ่มทำให้ตลาดเกิดใหม่ถูกลดบทบาทลงจะกดดันครึ่งปีหลังการลงทุนบ้านเราแผ่วลง แต่เชื่อว่าไม่มีนัยสำคัญมากนัก