โบรกแนะเก็บหุ้นพื้นฐาน ชูเมกะโปรเจค-ดิจิทัล(คลิป)
เศรษฐกิจ

น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การเมืองไม่ได้มีน้ำหนักกดตลาดหุ้นไทย หลังศาลรัฐธรรมนูญประกาศยุบพรรคการเมืองเมื่อสัปดาห์ที่ ผ่านมา ซึ่งต้องไปดูอีกทีเลือกตั้งวันที่้ 24 มี.ค. โดยมองว่าเหตุการณ์รุนแรงก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งโอกาสเกิดขึ้นน้อย และคิดว่าการเมืองไม่รุนแรง หลังเลือกตั้งถ้าเป็นรัฐบาลผสมเดินหน้าโครงการสานต่อโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมกะโปรเจคจะส่งผลดีต่อการลงทุน ประกอบกับบ้านเราจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4-6 พ.ค.จะเป็นผลดีมากขึ้น
สำหรับปัจจัยพื้นฐานระระยะใกล้ที่ติดตามคือ การปรับเกณฑ์การนำหุ้นไทยเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ซึ่งจะนำหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติถือครองผ่าน NVDR มาคำนวณด้วย ซึ่งจะทำให้น้ำหนักของหุ้นไทยในตลาดเกิดใหม่ MSCI EM จะเพิ่มขึ้นจาก 2.5% เป็น 3% คิดเป็นเม็ดเงิน 30,000 กว่าล้านบาท
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดีขึ้นเห็นได้จากทิศทางดอกเบี้ยปีนี้คาดว่ายังไม่ขึ้นรุนแรง หรือหากปรับขึ้นก็น้อยครั้งลง ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ส่งออกที่ติดลบมีแนวโน้มดี หลังจากที่การเจรจาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มคลี่คลาย ทิศทางกำไรของบจ.ปีนี้น่าจะกลับมาบวกได้ จากปีก่อนที่ติดลบ โดยภาพรวมในระยะสั้นตลาดผันผวนอยู่ในกรอบ 1,620-1,630 จุด กรอบบนด่านแรกอยู่ที่ 1,650 จุด ถ้าผ่านไปได้ 1,670-1,680 จุด ส่วนเป้าหมายดัชนีปีนี้ 1,750 จุด อิง PE ที่ 16.7 เท่า EPS growth 8%
ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นพื้นฐานดีเกี่ยวกับเมกะโปรเจค สังคมผู้สูงวัย การลงทุนดิจิทัล โลจิสติกส์ ส่วนพลังงานผันผวนตามรอบเน้นเก็งกำไร แต่ถ้าลงทุนยาวก็ต้องยาวเลย รวมถึงหุ้นรับเหมาก่อสร้าง แบงก์ ท่องเที่ยว ส่วนปัจจัยเสี่ยงจะเป็นเรื่องของภายนอกเป็นหลัก เศรษฐกิจโลกที่ซบเซา อีซีบีหั่นจีดีพี 1.7% เหลือ 1.1% สงครามทางการค้าจบลงด้วยดีหรือไม่ และเบร็กซิท ขณะที่ในประเทศติดตามค่าเงินบาทผันผวน และหลังเลือกตั้งหากได้รัฐบาลผสมว่าการทำงานราบรื่นหรือไม่ ซึ่งมองว่าหากลงทุนภาครัฐเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ทำให้จีดีพีโตได้ 3.9-4%
สำหรับปัจจัยพื้นฐานระระยะใกล้ที่ติดตามคือ การปรับเกณฑ์การนำหุ้นไทยเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ซึ่งจะนำหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติถือครองผ่าน NVDR มาคำนวณด้วย ซึ่งจะทำให้น้ำหนักของหุ้นไทยในตลาดเกิดใหม่ MSCI EM จะเพิ่มขึ้นจาก 2.5% เป็น 3% คิดเป็นเม็ดเงิน 30,000 กว่าล้านบาท
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดีขึ้นเห็นได้จากทิศทางดอกเบี้ยปีนี้คาดว่ายังไม่ขึ้นรุนแรง หรือหากปรับขึ้นก็น้อยครั้งลง ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ส่งออกที่ติดลบมีแนวโน้มดี หลังจากที่การเจรจาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มคลี่คลาย ทิศทางกำไรของบจ.ปีนี้น่าจะกลับมาบวกได้ จากปีก่อนที่ติดลบ โดยภาพรวมในระยะสั้นตลาดผันผวนอยู่ในกรอบ 1,620-1,630 จุด กรอบบนด่านแรกอยู่ที่ 1,650 จุด ถ้าผ่านไปได้ 1,670-1,680 จุด ส่วนเป้าหมายดัชนีปีนี้ 1,750 จุด อิง PE ที่ 16.7 เท่า EPS growth 8%
ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นพื้นฐานดีเกี่ยวกับเมกะโปรเจค สังคมผู้สูงวัย การลงทุนดิจิทัล โลจิสติกส์ ส่วนพลังงานผันผวนตามรอบเน้นเก็งกำไร แต่ถ้าลงทุนยาวก็ต้องยาวเลย รวมถึงหุ้นรับเหมาก่อสร้าง แบงก์ ท่องเที่ยว ส่วนปัจจัยเสี่ยงจะเป็นเรื่องของภายนอกเป็นหลัก เศรษฐกิจโลกที่ซบเซา อีซีบีหั่นจีดีพี 1.7% เหลือ 1.1% สงครามทางการค้าจบลงด้วยดีหรือไม่ และเบร็กซิท ขณะที่ในประเทศติดตามค่าเงินบาทผันผวน และหลังเลือกตั้งหากได้รัฐบาลผสมว่าการทำงานราบรื่นหรือไม่ ซึ่งมองว่าหากลงทุนภาครัฐเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ทำให้จีดีพีโตได้ 3.9-4%