ข่าวอัดฉีดเพิ่ม3หมื่นล้าน ต่อลมหายใจบัตรคนจนถึงสิ้นปี - kachon.com

อัดฉีดเพิ่ม3หมื่นล้าน ต่อลมหายใจบัตรคนจนถึงสิ้นปี
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยระหว่างเดินทางไปปฏิบัติราชการที่ประเทศกัมพูชาว่า ภายในเดือนมี.ค.นี้ สำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอีกกว่า 3 หมื่นล้านบาท เข้าในกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เพื่อนำไปใช้ในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่ม หลังจากเงินในกองทุนฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะใช้หมดภายในเดิอนนี้ และเมื่อเติมเงินแล้ว กองทุนฯจะมีงบใช้ได้จน ถึงสิ้นปีงบประมาณ 62 หรือเดือนก.ย.62 และมีเงินเพียงพอดูแลผู้ถือบัตรทั้ง 14.5 ล้านคน

ทั้งนี้สาเหตุที่สำนักงบฯ ต้องจัดสรรงบเพิ่มเนื่องจาก ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการจัดทำโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมหลายโครงการ จนทำให้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากงบประจำปีไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นโครงการให้เงินสวัสดิการช่วงปีใหม่คนละ 500 บาท การช่วยเหลือค่าเดินทางไปรักษาพยาบาลแก่ผู้สูงอายุคนละ 1,000 บาท การช่วยเหลือค่าเช่าบ้านแก่ผู้สูงอายุคนละ 400 บาท การช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟฟ้า รวมถึงยังมีการขยายโครงการบัตรสวัสดิการ ภายใต้ไทยนิยมยั่งยืนให้กับประชาชนอีก 3.1 ล้านราย และการขยายมาตรการพัฒนาคุณภาพแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการระยะสองอีก 6 เดือนถึงสิ้นเดือนมิ.ย.นี้





อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะภาครัฐมีการคาดการณ์ไว้แล้ว และที่ผ่านมาได้มีการจัดทำกฎหมาย พ.ร.บ.การจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมพ.ศ.2562 เพื่อรองรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม โดยผ่านการพิจารณาสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อปลายปีก่อน และขณะนี้ได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีผลบังคับใช้ ทำให้สำนักงบประมาณสามารถ จัดสรรนำงบประมาณที่เหลือค้างจ่ายจากส่วนต่างๆ มาจัดสรรใส่ในกองทุนฯ แทน

น.ส.สุทธิรัตน์ กล่าวว่าการจัดสรรงบฯ ครั้งนี้ส่งผลให้ตั้งแต่เริ่มโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมีการตั้งกอยทุนประชารัฐฯ ตลอดเวลา 2 ปี คลังได้ใช้เงินไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท ในการ ช่วยเหลือผู้มรายได้น้อยให้มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น 14.5 ล้านคน และในจำนวนนี้ก็มีหลายล้านคนที่พ้นเส้นความยากจน นอกจากนี้ในปีงบประมาณหน้า กรมฯ ยังได้เสนอขอจัดทำงบประมาณปี 63 วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในอนาคตอีกด้วย