ต่างชาติลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยกดดัชนีร่วงต่อ
เศรษฐกิจ

นายสรพล วีระเมธีกุล นักกลยุทธ์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,617.57 จุด ลบ 8 จุด หรือ 0.49 % ระหว่างวันเคลื่อนไหวสูงสุด 1,630.45 จุด และต่ำสุดที่ 1,612.85จุด มูลค่าการซื้อขาย 38,474.99 ล้านบาทว่า ก่อนการเลือกตั้งนักลงทุนต่างชาติ-สถาบันลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นไทยกดดัชนีปิดลบ ซึ่งต้องรอหลังเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร โดยไม่ใช่เฉพาะบุคคลที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีต้องดูสภาร่างหรือฝ่ายค้านด้วยว่าเป็นพรรคไหน
นอกจากนี้ยังต้องติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 19-20 มี.ค.นี้ น่าจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง และอาจลดงบดุลลงจะมีผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และส่งผลให้เงินไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ และต้องดู dot plot หรือการปรับประมาณการณ์ขึ้นดอกเบี้ยของเฟดว่าจะเป็นอย่างไร รวมถึงเบร็กซิท โดยนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะยื่นเข้าสู่การพิจารณาของสภาเป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 20 มี.ค.นี้

ทั้งนี้หากรัฐสภายังคงมีมติคว่ำข้อตกลงเบร็กซิท รัฐบาลอังกฤษจะต้องขอการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการยุโรปขยายเวลาเส้นตายเบร็กซิทจากที่สิ้นสุดวันที่ 29 มี.ค.เป็น 30 มิ.ย.นี้ว่าจะเห็นชอบหรือไม่ ซึ่งหากเห็นชอบจะไม่มีผลต่อตลาดหุ้นโดยตรง แต่อาจกระทบส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่ให้โควต้าส่งออกกับไทย เช่น อาหารทะเล หมู และไก่ เป็นต้น รวมถึงโควต้าใหม่จะเป็นอย่างไร เพราะไทยส่งออกสินค้าไปยุโรป 8% รองจากสหรัฐฯและจีน รวมถึงติดตามว่าความเชื่อมั่นของอังกฤษจะเป็นอย่างไหลังจากออกจากอียูและประเทศอื่นที่เป็นสมาชิกจะออกจากอียูอีกหรือไม่
ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่บวก ขณะที่หุ้นที่ปรับตัวลดลงเป็นหุ้นโกลบอลเพย์ เช่น PTT,IVL, TOP เนื่องจากนักลงทุนกังวลสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังไม่ได้ข้อสรุป หลังจากที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศเลื่อนการหารือกันออกไป จากเดิมที่กำหนดไว้เป็นวันที่ 26-27 มี.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้แนะนำ wait and see เนื่องจากความไม่แน่นอนสูง แต่หากต้องการลงทุนแนะนำหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบต่อปัจจัยเสี่ยง เช่น ท่องเที่ยว และค้าปลีก มองแนวรับพรุ่งนี้อยู่ที่ 1,600 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,625 จุด
นอกจากนี้ยังต้องติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 19-20 มี.ค.นี้ น่าจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง และอาจลดงบดุลลงจะมีผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และส่งผลให้เงินไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ และต้องดู dot plot หรือการปรับประมาณการณ์ขึ้นดอกเบี้ยของเฟดว่าจะเป็นอย่างไร รวมถึงเบร็กซิท โดยนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะยื่นเข้าสู่การพิจารณาของสภาเป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 20 มี.ค.นี้

ทั้งนี้หากรัฐสภายังคงมีมติคว่ำข้อตกลงเบร็กซิท รัฐบาลอังกฤษจะต้องขอการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการยุโรปขยายเวลาเส้นตายเบร็กซิทจากที่สิ้นสุดวันที่ 29 มี.ค.เป็น 30 มิ.ย.นี้ว่าจะเห็นชอบหรือไม่ ซึ่งหากเห็นชอบจะไม่มีผลต่อตลาดหุ้นโดยตรง แต่อาจกระทบส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่ให้โควต้าส่งออกกับไทย เช่น อาหารทะเล หมู และไก่ เป็นต้น รวมถึงโควต้าใหม่จะเป็นอย่างไร เพราะไทยส่งออกสินค้าไปยุโรป 8% รองจากสหรัฐฯและจีน รวมถึงติดตามว่าความเชื่อมั่นของอังกฤษจะเป็นอย่างไหลังจากออกจากอียูและประเทศอื่นที่เป็นสมาชิกจะออกจากอียูอีกหรือไม่
ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่บวก ขณะที่หุ้นที่ปรับตัวลดลงเป็นหุ้นโกลบอลเพย์ เช่น PTT,IVL, TOP เนื่องจากนักลงทุนกังวลสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังไม่ได้ข้อสรุป หลังจากที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศเลื่อนการหารือกันออกไป จากเดิมที่กำหนดไว้เป็นวันที่ 26-27 มี.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้แนะนำ wait and see เนื่องจากความไม่แน่นอนสูง แต่หากต้องการลงทุนแนะนำหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบต่อปัจจัยเสี่ยง เช่น ท่องเที่ยว และค้าปลีก มองแนวรับพรุ่งนี้อยู่ที่ 1,600 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,625 จุด