ข่าวศูนย์วิจัยฯคาดเฟดตรึงดอกเบี้ยประคองศก.สหรัฐฯ - kachon.com

ศูนย์วิจัยฯคาดเฟดตรึงดอกเบี้ยประคองศก.สหรัฐฯ
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า   ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 30 เม.ย.-1  พ.ค.นี้  ซึ่งการส่งสัญญาณผ่อนปรนในการดำเนินโยบายการเงินของเฟด จะช่วยประคองการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้  ทั้งนี้ แม้ตลาดมองว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เฟดอาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในช่วงปลายปี 62  แต่เฟดคงไม่น่าจะส่งสัญญาณถึงทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินดังกล่าวในระยะอันใกล้    เนื่องจากรอประเมินผลของการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายผ่อนปรน ทั้งการสื่อสารต่อตลาดถึงมุมมองที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินตลอดปีนี้ 

รวมทั้งการปรับเปลี่ยนการปรับลดขนาดการลดงบดุลของเฟดในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลจากระดับ 3  หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือน เหลือระดับ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือนในเดือนพ.ค. และสิ้นสุดมาตรการในเดือนก.ย. ว่าแนวทางดังกล่าว สามารถช่วยประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลลบการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี 61 ที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ เฟดคงจะพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ อาทิ การพิจารณาซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นอีกครั้ง เพื่อช่วยเพิ่มความผ่อนคลายทางการเงิน ก่อนที่จะพิจารณาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะเป็นประเด็นที่มีผลต่อการปรับตัวของตลาดที่ค่อนข้างแรง เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอาจถูกตลาดตีความถึงแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่วัฎจักรชะลอตัวในระยะข้างหน้าได้

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทย การส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ คงเป็นปัจจัยที่ตลาดการเงินรับรู้ไปบางส่วนแล้ว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวคงส่งผลต่อการปรับตัวของเงิน ดอลลาร์ฯ ที่คงไม่น่าจะปรับแข็งค่าจากระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงนี้คงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะพัฒนาการของการเมืองในประเทศ ขณะที่การปรับเปลี่ยนท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดน่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ รวมทั้งไทย ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นรวมทั้งสามารถที่จะดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น