ลุ้นหุ้นไทยพ.ค.วิ่งฉิวการเมืองชัดเจน- MSCIเพิ่มน้ำหนักบจ.(คลิป)
เศรษฐกิจ
นางจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในเดือนพ.ค.มีปัจจัยบวกหนุนในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการเมือง ซึ่งวันที่ 9 พ.ค.นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ก็ตามมาด้วยคดีต่าง ๆ อีกมาก ทั้งการแจกใบเหลือง ใบส้ม แต่จะเห็นภาพชัดเจนเรื่องการจับขั้วทางการเมือง ดังนั้นการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญ
"นักลงทุนรอดูการจัดตั้งรัฐบาลถ้ามีเสถียรภาพก็สามารถดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นตอบรับการนับคะแนนเสียพลังประชารัฐมาตลาดหุ้นขึ้น และกรณีที่พรรคเพื่อไทยแถลงจับมือกับพรรคอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ตลาดคาดหวังจับมือกับหลายพรรคแต่รายชื่อเข้าร่วมพรรคเพื่อไทยมีจำนวนน้อยกว่าทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับลง 10 กว่าจุด ซึ่งตลาดไม่ได้สนใจว่าพรรคเอหรือพรรคบีมา แต่เอกชนอยากเห็นการเมืองนิ่งและมีเสถียรภาพมากกว่า แต่ถ้าพลังประชารัฐมาน่าจะเป็นบวกกับตลาดหุ้น"
สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลหากดำเนินการช้าจะกระทบต่อนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจอ่อนแอที่อยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้อานิสงส์จากปีที่แล้วที่มีโมเมนตัมต่อเนื่อง ดังนั้นระยะสั้นรัฐบาลใหม่ต้องกระตุ้นการบริโภคไปก่อน ส่วนระยะยาวลงทุนสนับสนุนโครงสร้างลงทุนขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า เป็นต้น
ส่วนประเด็นที่มีส่งผลดีต่อตลาดหุ้นอีกประเด็นเป็นเรื่อง MSCI ปรับเกณฑ์ใช้ NVDR เข้าคำนวณดัชนี MSCI Thailand คาดว่าน้ำหนักหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้น 0.5% จาก 2.5% เป็น 3% หรือคิดเป็นเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 70,000 ล้านบาท โดยหุ้นที่คาดว่าจะเพิ่มน้ำหนักถูกเข้าคำนวณดัชนี เช่น SCC,DTAC, RATCH, CENTEL ซึ่งหุ้นดังกล่าวได้ปรับขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่จะเห็นการประกาศเป็นทางการ 15 พ.ค.นี้และมีผล 3 มิ.ย. คาดว่าจะทำให้มีการเก็งกำไรอีกรอบหากได้เพิ่มน้ำหนักจริงและทำให้เงินทุนไหลเข้ามาซื้อหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ.ค.ต่อเนื่องไปถึงมิ.ย.
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่เป็นห่วงคือ สงครามทางการค้า หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศจะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจาก 10% เป็น 25% ในวันที่ 10 พ.ค.นี้ เป็นปัจจัยกดตลาด เพราะหลังจากที่มีปัญหาสงครามก.พ.ปีที่แล้วตลาดหุ้นปรับตัวลง ส่งออกเอเชียหดตัวได้รับผลกระทบตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นมาทั้งจีน เกาหลีใต้ และไทย ซึ่งภาพเศรษฐกิจที่หลายประเทศแย่ทำให้สหรัฐฯ จะต้องหาวิธีตรงกลางประนีประนอมให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
ส่วนเป้าดัชนีในเดือนพ.ค.อาจอยู่ที่ 1,700-1,750 จุด กำไรต่อหุ้น (อีพีเอส)อยู่ที่ 101-102 บาทต่อหุ้น พีอี 16 เท่า และสิ้นปีมองไว้ที่ 1,800 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นประกาศงบในไตรมาส 1/62 ที่คาดว่าผลประกอบการดี และหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ เช่น รับเหมาก่อสร้าง เสาเข็ม แบงก์ ไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า และโรงเรียน เป็นต้น