นายมาซาฮิโระ ชิอิยะ ผู้บริหารแผนกธุรกิจอะไหล่ทดแทน บริษัท ไอชิน เซกิจำกัด และ ประธาน บริษัท ไอชิน เอเซีย (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดธุรกิจชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ในประเทศไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดผู้ประกอบการผลิต หรือ OEM (Original Equipment Manufacturer) และตลาดที่ผลิตสินค้าทดแทน หรือ REM (Replacement Equipment Market) ที่เพิ่มขึ้นตามการผลิตรถยนต์ที่เติบโตขึ้นและจำนวนรถยนต์จดทะเบียนสะสมที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
“ปัจจุบันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียเนื่องจากได้รับมาตรการสนับสนุนและการส่งเสริมจากภาครัฐมาอย่างต่อเนื่องทำให้มีบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่จากต่างประเทศหลายบริษัท เข้ามาตั้งฐานการผลิต และ ไอชิน กรุ๊ป (AISINGroup) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือโตโยต้าให้ความสนใจเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ให้กับโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงตลาดทดแทนในประเทศและส่งออก
ทั้งนี้ตลาด OEMจะขยายตัวเติบโตตามการขยายกำลังการผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ซึ่งจะใช้ชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นหลักส่วนตลาด REM หรือตลาดทดแทนนั้นจะเติบโตสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับจำนวนรถจดทะเบียนสะสมในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน โดยจำนวนรถสะสมที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไปจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ในการซ่อมแซมและการบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้น
นายโซอิจิ ซาโตะ ผู้อำนวยการ บริษัท ไอชิน เอเซีย (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯร่วมมือกับพันธมิตรจำนวน 6 ราย คือ บริษัท มโนยนต์ชัยจำกัด, บริษัท ยุทธกิจมอเตอร์ อิมปอร์ต 2005 จำกัด, บริษัทจิ้นเซ่งฮวดอะไหล่ยนต์ จำกัด, บริษัท เอส.ซี.แอล. มอเตอร์ พาร์ท จำกัด, บริษัทเอเซียคอมแพ็ค จำกัด และ บริษัท เอ็ม เอ็น อินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อใช้จุดแข็งของพันธมิตรแต่ละรายในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และกลุ่มลูกค้าใหม่ให้สอดรับกับไลน์สินค้าใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น ในอนาคต
สำหรับความแข็งแกร่งของเครือข่ายของพันธมิตรทั้ง 6 รายนั้นจะทำให้ไอชินสามารถกระจายสินค้าได้ทั่วประเทศและซัพพลายสินค้าที่มีหลากหลายได้ทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการซึ่งนอกจากเรื่องคุณภาพของสินค้าแล้ว การบริหารจัดการ การกระจายสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เป็นไปได้อย่างทั่วถึงนั้นก็เป็นนโยบายที่ไอชิน เอเซีย (ประเทศไทย)ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ในปี 61 ที่ผ่านมามียอดขายถึง 800 ล้านบาท หรือเติบโตเกินกว่า 20% แม้ว่าในบางช่วงเวลาต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัวและปัจจัยลบต่าง ๆ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน, การเมือง ซึ่งถือเป็นการเจริญเติบโตที่สูง หากเทียบกับอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยประมาณ15% ต่อปี โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้างยอดขายในปี 62 ให้ถึง 1,000ล้านบาท และเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดภายใน 3 ปีข้างหน้า เป็น 2,000 ล้านบาททั้งนี้ กลยุทธ์สำคัญที่บริษัทนำมาใช้ในการเพิ่มยอดขายรวมถึงเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้ คือ กลยุทธ์ 4P นั่นก็คือ Product,Price, Place และ Promotion
สินค้าที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทคือสินค้ากลุ่มระบบขับเคลื่อน (Drivetrain) และสินค้ากลุ่มระบบเครื่องยนต์(Engine) ได้แก่ สินค้าคลัทช์ และปั๊มน้ำโดยบริษัทมียอดขายสินค้าคลัทช์สำหรับรถยนต์ โตโยต้าเป็นอันดับหนึ่งส่วนสินค้าปั๊มน้ำ ปัจจุบันมียอดขายสูงถึง 100,000 ชิ้นต่อปีโดยสินค้าที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต คือ สินค้ากลุ่มเคมี ได้แก่ น้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์ ซึ่งล่าสุดบริษัทได้เพิ่มรายการสินค้าใหม่ คือ น้ำมันเบรกและยังมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือน้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์ในอนาคตด้วย