สอท.ร้องรัฐขยายตลาดใหม่-เจรจาเอฟทีเอรับศึกเทรดวอร์
เศรษฐกิจ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)เปิดเผยถึงผลกระทบจากสงครามทางการค้า หลังจากที่สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนเพิ่มจาก 10% เป็น 25% และจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่นกันในวงเงิน 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐว่า นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสอท. ได้แต่งตั้งตนเป็นประธานคณะกรรมการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งด้านบวกและด้านลบว่ามีอะไรบ้างสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม 45 กลุ่มของสอท. ซึ่งได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะไทยส่งออกสินค้าไปจีน 12% ของมูลค่าที่ส่งออกทั้งหมด และส่งออกไปสหรัฐ 10% ของมูลค่าที่ส่งออกทั้งหมด โดยถือว่ามีผลกระทบค่อนข้างมาก
ทั้งนี้เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศโกลบอลซัพพลายให้กับจีน และสินค้าที่ไทยส่งไปจีนเป็นสินค้าประเภทปฐมภูมิหรือกึ่งวัตถุดิบ เพื่อให้จีนนำไปประกอบและผลิตต่อส่งออกไปยังประเทศอื่น ดังนั้นต้องดูรายละเอียดว่าสินค้าไทยที่ได้รับผลกระทบมีกี่รายการ และเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมใดบ้าง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นสินค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอะไหล่ต่าง ๆ ในหลายอุตสาหกรรม และกำลังหาวิธีแก้ไขและเยียวยาอุตสาหกรรมว่าจะมีมาตรการใดที่สามารถทำได้บ้าง
นอกจากนี้ในทางบวกหลายสินค้าที่จะได้ประโยชน์จากสงครามทางการค้า เช่น สินค้าเกษตรไทยสามารถส่งออกไปจีนได้ ทั้งเนื้อหมู ถั่วเหลือง ข้าวโพด ซึ่งไทยมีศักยภาพที่จะเข้าไปทดแทนได้ถือเป็นโอกาสในการเข้าไปทำตลาด ขณะเดียวกันจะส่งผลดีต่อการลงทุน โดยเฉพาะโครงการอีอีซีเราต้องการนักลงทุนต่างชาติมาลงทุน อาจทำให้ผู้ประกอบการจีนย้ายโรงงาน หรือย้ายฐานการผลิตมาที่อาเซียน และประเทศเป้าหมายคือเวียดนาม และไทย แต่ต้องดูว่าโรงงานย้ายฐานตรงกับวัตถุประสงค์ของรัฐหรือไม่ เพราะอีอีซีเน้นอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย ทั้งนี้ปัจจุบันไทยเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ หากมากเกินไปอาจทำให้สหรัฐฯ มีมาตรการเข้มงวดกับไทยได้ ดังนั้นต้องมาชั่งน้ำหนักดูว่าอะไรดีหรือไม่ดี
ส่วนแนวทางแก้ปัญหาในเบื้องต้นนั้นเห็นว่ารัฐควรพิจารณาใน 2 เรื่องคือ การหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดเก่า โดยเฉพาะการขยายตลาดในกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้มากขึ้น เนื่องจากมีประชากรครึ่งหนึ่งของโลกถือว่าเป็นตลาดใหญ่มาก พร้อมทั้งขอให้พาณิชย์เร่งเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้าให้มีความคืบหน้า ขณะนี้ไทยล่าช้ามาก ซึ่งเวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์มีความคืบหน้ามากทำให้ประเทศเหล่านี้ได้สิทธิประโยชน์และมีแต้มต่อทางการค้ามากกว่าไทย อย่างไรก็ตาม เชื่อรัฐบาลจากการเลือกตั้งทำให้เจรจาการค้าเอฟทีเอต่าง ๆ ที่คั่งค้างอยู่ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น