ข่าวบูทีคแอร์ไลน์พาเยือน"เว้ สัมผัสกลิ่นอายในตำนาน - kachon.com

บูทีคแอร์ไลน์พาเยือน"เว้ สัมผัสกลิ่นอายในตำนาน
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s
 เสน่ห์ของการเดินทาง คือการได้เรียนรู้และสัมผัสสิ่งรอบข้างตลอดเส้นทาง ทั้งผู้คน สถานที่ และรูปแบบการเดินทางอันหลากหลาย ซึ่งล้วนก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและความประทับใจอย่างมิรู้ลืม
ในทริปนี้ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่ให้บริการแบบฟูลเซอร์วิส ภายใต้สโลแกน Asia’s Boutique Airline... “เอเชีย บูทีคแอร์ไลน์” ความประทับใจแห่งเอเชีย ได้พาเหินฟ้าไปเยือนเมือง “เว้” (Hue) ประเทศเวียดนาม เมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ภาคกลางของประเทศเวียดนาม เป็นเมืองประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน จากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ให้เป็นเมืองมรดกโลกถึง 2 ครั้ง ด้วยกันคือ มรดกโลกทางโบราณคดีเมื่อปี 2536 และมรดกโลกทางศิลปวัฒนธรรม เมื่อปี2546 จึงไม่แปลกที่จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่หลงใหลในศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ต้องเดินทางมาสัมผัสร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนครจักรพรรดิแห่งนี้
ด้วยเวลาเพียง1.50 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินนานาชาติดานัง (Da Nang International Airport) ในจังหวัดดานัง กับบริการที่สะดวกสบายบินตรงเส้นทางกรุงเทพฯ – ดานัง (เวียดนาม) วันละ 2 เที่ยว หรือ สัปดาห์ละ 14 เที่ยวบิน โดยใช้เครื่องบินแบบแอร์บัส เอ319 ขนาด 138 ที่นั่ง ซึ่งสายการบินนี้จัดห้องรับรอง บูทีคเล้าจน์ (Boutique Lounge) ที่ได้รับการออกแบบอย่างทันสมัย สีสันสดใสสบายตา พร้อมบริการอินเตอร์เนต ไวไฟ อาหารว่าง และเครื่องดื่ม เพื่อบริการผู้โดยสาให้ได้รับความผ่อนคลายแบบสบายท้องก่อนออกเดินทาง สนใจสำรองที่นั่งได้ที่ www.bangkokair.com.
จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถบัส ตามทางหลวงหมายเลข 1 ไปเมืองเว้ ด้วยระยะทาง90กิโลเมตร ซึ่งการเดินทางต้องลอดอุโมงค์ไห่เหวิน ที่ได้ชื่อว่าเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในเอเชียใต้ มีความยาว6.3 กิโลเมตร เป็นทางเชื่อมระหว่างเมืองดานังกับเมืองเว้ และการสร้างอุโมงค์นี้ต้องเจาะภูเขาขนาดใหญ่ถึง 3ลูก เพื่อย่นระยะทางไม่ต้องขึ้นเขา และในระหว่างทางยังลัดเลาะเลียบภูเขาที่โอบล้อมแนวชายฝั่งทะเลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม โดยด้านหนึ่งเป็นทะเลสาบชายฝั่งที่มีน้ำใสแจ๋ว ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นหาดทรายบริสุทธิ์ ทำให้เพลิดเพลินกับธรรมชาติสองข้างทางอย่างสบายตาก็มาถึงเมืองเว้ด้วยเวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง เพราะตลอดเส้นทางจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่ภายในเมืองเว้ จะจำกัดความเร็วอยู่ที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
บางกอกแอร์เวย์ส เลือก AZERAI (อาเซอรัย) La Residence (ลาเรซิดองซ์)ตั้งอยู่ที่เลขที่ 5 ถนนเลอลัว เป็นที่พัก โดยสถานที่แห่งนี้มีตำนานน่าสนใจ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2473 ให้เป็นส่วนหนึ่งของจวนผู้ว่าการในยุคอาณานิคม และเมื่ออาณานิคมฝรั่งเศสล่มสลายเมื่อ ปี 2497 ก็กลายมาเป็นบ้านพักรับรองของเจ้าหน้าที่ประจําจังหวัด
อาเซอรัย เป็นโรงแรมบูติกเก่าแก่ ขนาด 122 ห้องพัก ตั้งอยู่บนฝั่งใต้ของแม่น้ำหอม มีชื่อเสียงระดับตํานานในเมืองหลวงเก่ายุคจักรวรรดิของเวียดนาม เป็นโรงแรมในเครือธุรกิจ อาเซอรัย แห่งที่สองในเวียดนาม หลังจากเปิดให้บริการแห่งแรกแล้วที่เกิ่นเทอ โดยมีความสวยงามแบบเรียบง่าย ตกแต่งด้วยความประณีต พร้อมคงเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมที่งดงามดั้งเดิมเอาไว้ พร้อมให้บริการครบครันทั้งสปา ห้องอบไอน้ํา ห้องเซาน่า และน้ำพุน้ําแข็ง การนวดบําบัด และขัดตัว ทั้งตํารับตะวันออกและตะวันตก ห้องยิม บาร์เลอกูร์แวร์เนอร์ และภัตตาคาร ที่จะเป็นประสบการณ์การพักผ่อนในสถานที่ที่วิเศษสุดเริดหรูและในอัตราห้องพักสบาย ๆเอื้อมถึงได้ กับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
อาเซอรัย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเว้ สามารถเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญได้ไม่ยากนัก เริ่มจากชมความงามของ แม่น้ำหอม (Perfume River) หรือที่ชาวเวียดนามออกเสียงว่า ซงเฮือง อยู่ติดกับโรงแรม ต้นกำเนิดของลำน้ำมากจากป่าที่อุดมไปด้วยดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอม เมื่อดอกไม้ใบไม้ได้ร่วงร่วงหล่นลงไปในแม่น้ำและลอยมากับสายน้ำจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นแม่น้ำหอม จากนั้นก็ล่องเรือที่มีให้บริการอยู่บริเวณริมแม่น้ำหอมไปยัง วัดเจดีย์เทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของเวียดนามในยุคหลัง ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหอม สร้างขึ้นราว ปี พ.ศ.2144 ในสมัยจาม ชื่อว่า Chua Thien Mu มีความหมายว่า เจดีย์นางฟ้า หรือ คนไทยเรียกว่า วัดเทพธิดาราม มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นเชื่อว่าเป็นตัวแทนชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ทางด้านซ้ายและด้านขวาเป็นที่ตั้งของศิลาจารึกระฆังสำริดขนาดใหญ่หนัก 2 ตัน ทางด้านหลังเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ยืนเฝ้าประตูเพื่อไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามา
จากนั้นเดินทางไปเที่ยวชมพระราชวังเว้ (Imperial Citadel Hue) พระราชวังของเวียดนามที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระราชวังต้องห้าม ที่ปักกิ่ง ทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรม สี สัญลักษณ์ และตัวอักษร เพราะเคยถูกจีนปกครองมานับพันปี โดยพระราชวังแห่งนี้คือเคยถูกฝรั่งเศสเผาในปี พ.ศ. 2488 ทำให้กลายเป็นวังร้าง และในปีพ.ศ.2511 ก็ถูกสหรัฐทิ้งระเบิด เนื่องจากเป็นที่ซ่องสุมของคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้เข้ามาบูรณะและขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ. 2536 พระราชวังเว้มีพื้นที่กว่า 5.2 ตารางกิโลเมตร และมีกำแพงสร้างล้อมรอบถึง 3 ชั้น ถูกเรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า Imperial Citadel “Imperial”
ตามมาด้วย สุสานจักรพรรดิไคดิงห์ (Tomb of Khai Dinh) เป็นสุสานจักรพรรดิที่สร้างอยู่บนเนินเขา อยู่ห่างจากเมืองเว้ลงไปทางใต้ 8 กิโลเมตร เป็นสุสานเดียวที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกกับสถาปัตยกรรมตะวันตก สมเด็จพระจักรพรรดิไคดิงห์เป็นพระจักรพรรดิลำดับก่อนสุดท้ายของเวียดนาม และเป็นจักรพรรดิในราชวงศ์เหงียนพระองค์เดียวที่ได้เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส สุสานแห่งนี้จึงสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี ภายในมีการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยการฝังกระจกสีและกระเบื้องนับพันชิ้น และจิตรกรรมฝาผนังภาพมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ที่วาดโดยใช้ศิลปินที่เขียนภาพด้วยเท้า ประดับอยู่บนเพดานกลางห้องโถง และรูปปั้นหล่อสำริดของพระเจ้าไคดิงห์ หล่อขึ้นที่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2465 ซึ่งภายใต้ลึกลงไป18เมตร มีร่างองค์พระจักรพรรดิถูกฝังไว้ด้วย
ปิดท้ายกับตลาดดงบา ที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำหอม ที่นี่มีทุกสิ่งให้เลือกสรร ทั้งสินค้าพื้นเมือง อาหาร ของที่ระลึกมากมาย เรียกว่ามาที่เดียวจบได้ครบทุกอย่าง
สำหรับการเที่ยวชมเมืองเว้ ก็มีให้บริการยานพาหนะหลากหลาย ทั้ง รถจักรยานเช่ารถจักรยานยนต์เช่า และรับจ้าง หรือจะเลือกใช้บริการสามล้อถีบ ในราคา120,000ดอง ประมาณ 150บาท สำหรับ30นาที และ200,000ดอง ประมาณ280บาท สำหรับ1ชั่วโมง ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเพราะได้นั่งชมทิวทัศน์ในเมืองได้อย่างสำราญใจเป็นยิ่งนัก
มนต์เสน่ห์ของเมืองเว้ เป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องมาสัมผัสกลิ่นอายในตำนานให้ได้สักครั้งในชีวิต.