ข่าวสงครามการค้าส่อปานปลายแนะปรับพอร์ตลงทุนหุ้น(คลิป) - kachon.com

สงครามการค้าส่อปานปลายแนะปรับพอร์ตลงทุนหุ้น(คลิป)
เศรษฐกิจ

photodune-2043745-college-student-s

นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. คิงส์ฟอร์ด  เปิดเผยภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือนมิ.ย.ว่า   จะต้องติดตามใน 3 ประเด็นหลัก คือ การประชุมจี 20  ที่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันที่  28-29 มิ.ย.นี้ ว่านายโดนัลด์  ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนจะสามารถตั้งโต๊ะเจรจาลดข้อพิพาททางการค้าได้หรือไม่  ซึ่งหากไม่สามารถตกลงกันอาจทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง  นอกจากนี้นักวิเคราะห์สถาบันใหญ่ต่างประเทศส่วนใหญ่ประเมินแล้วว่า  ถ้าสหรัฐขึ้นภาษีอีก 25% วงเงิน 325,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะกระทบต่อจีดีพีจีนปรับตัวลง  0.8% ในปี  64 ขณะที่สหรัฐฯและจีดีพีโลกกระทบ 0.5%  ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง

นอกจากนี้ต้องรอดูผลกการประชุมโอเปก 25-26 มิ.ย.นี้ ว่าจะลดกำลังการผลิตลงต่อเนื่องหรือไม่  จากที่ก่อนหน้านี้ได้ลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพราะถ้าสงครามทางการครามยืดเยื้อความต้องการใช้น้ำมันลดลง   โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่   56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล  จากเดิม 66 ดอลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล หรือลดลง 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มปรับฐานลงมาที่ระดับ  52-54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ถ้าเจรจาการค้าไม่สามารถตกลงกันได้  รวมถึงการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดวันที่  18-19 มิ.ย.นี้   ซึ่งตลาดคาดว่าในเดือนก.ย.นี้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยงลง 1 ครั้ง  เพื่อประคองเศรษฐกิจและราคาหุ้นไม่ปรับตัวลง  แต่จะส่งผลดีทางด้านจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทยในการลดความผันผวนลงได้  แต่ไม่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในเอเชียมากนัก 

สำหรับเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศว่าเติบโตเพียง 2.8%  ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์  จากเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.)  3%  ครึ่งปีหลัง(ก.ค.-ธ.ค.) โต  4% หรือเฉลี่ย 3.5%   แต่จากปัญหาสงครามทางการค้าทำให้ส่งออกครึ่งปีหลังมีโอกาสติดลบสูง  คาดว่าธปท.และ สศช.อาจปรับจีดีพีปีนี้ลงอีก 



ส่วนการเมืองยังอยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลใหม่  ซึ่งพลังประชารัฐจะเป็นกลุ่มที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้มากสุด  เพราะแกนนำฝั่งพลังประชารัฐมีแต้มต่อที่ดีกว่าและอยู่ระหว่าการจัดสรรสส.ไม่ลงตัว แต่ที่นักลงทุนกังวลคือความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองหากพลังประชารัฐได้ตั้งรัฐบาลดีสุดอาจบริหารประเทศได้เพียง 1 ปี  แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นนักลงทุน ซึ่งต้องรอประเมินอีกครั้งจากผลงานรัฐบาล  ดังนั้นในเดือนมิ.ย.ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงฉับพลันจะเห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่

อย่างไรก็ตาม ประเมินแนวรับรับ 1,580 จุด และแนวต้านอยู่ที่  1,640 จุด หุ้นที่แนะนำแบ่ง 2 ธีมคือ เน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศลดความผันผวนจากสงครามทางการค้าที่ยืดเยื้อ เช่น ค้าปลีก โรงไฟฟ้า  และหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่หนุนการเติบโตเศรษฐกิจ เช่น แบงก์  รับเหมาก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น 

" หากดัชนีตลาดหุ้นต่ำกว่า 1,580 จุดจากสงครามทางการค้ายืดเยื้อ นักลงทุนควรปรับน้ำหนักลงทุนหุ้นเหลือ 40%  จากปัจจุบันให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไว้ 50-60% และควรหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และอิเลคทรอนิกส์รับผลกระทบตรงจากสงครามทางการค้า"