ราคาน้ำมันผันผวนเหตุกำลังการผลิตโลกตึงตัว
เศรษฐกิจ
รายงานข่าวจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้(3 มิ.ย.- 7 มิ.ย. )เคลื่อนไหวที่กรอบ 51 – 56 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 62 - 67 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบโลกอยู่ในสภาวะตึงตัวจากการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกประกอบกับอิหร่านคาดจะส่งออกน้ำมันดิบได้น้อยลง
นอกจากนี้ตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางที่อาจปรับตัวลดลงจากสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคฯ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มถูกกดดันจากความยืดเยื้อของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันโลก
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ อุปทานน้ำมันดิบโลกมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่องหลังผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกมีโอกาสที่จะขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ซึ่งเดิมจะสิ้นสุดในปลายเดือน มิ.ย. 62 นี้ออกไปโดยกลุ่มผู้ผลิตจะหารือเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันดิบที่จะผลิตในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ ในการประชุมครั้งถัดไป ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 25-26 มิ.ย. 62 ณ กรุงเวียนนาประเทศออสเตรีย
นอกจากนี้ปริมาณน้ำมันดิบส่งออกจากรัสเซียมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ หลังประเทศในทวีปยุโรปพบสารปนเปื้อนในน้ำมันดิบที่ขนส่งผ่านท่อ Druzhba ซึ่งขนส่งน้ำมันดิบราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวันส่งผลให้รัสเซียจำเป็นต้องปรับลดกำลังการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำมันดิบที่สามารถส่งออกได้
ปริมาณน้ำมันดิบจากอิหร่านมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯหยุดผ่อนผันมาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 2 พ.ค.62 ที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะไม่ให้อิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันดิบได้ เพื่อลดรายได้หลักของประเทศ ล่าสุด ปริมาณน้ำมันดิบส่งออกจากอิหร่านในเดือนพ.ค. 62 ปรับลดลงสู่ระดับ 500,000 บาร์เรลต่อวัน จากปริมาณน้ำมันดิบส่งออกเดิม 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน เม.ย. 61
จับตาสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านที่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายลง หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯส่งทหาร 1,500 นายไปประจำการในภูมิภาคตะวันออกกลางส่งผลให้อิหร่านออกมาขู่ที่จะตอบโต้โดยการยิงขีปนาวุธทำลายเรือของสหรัฐฯบริเวณน่านน้ำสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งสถานการณ์ความไม่สงบนี้อาจส่งผลให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางปรับตัวลดลง
ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนคาดยืดเยื้อ หลังสื่อของรัฐบาลจีนประกาศว่าจีนพร้อมที่จะใช้แร่หายาก 17 ชนิดเป็นเครื่องมือในการต่อรองการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยแร่ดังกล่าวมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นส่วนประกอบสำหรับผลิตอุปการณ์ทางเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟน จนถึงอาวุธของกองทัพ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังไม่ออกมายืนยันถึงการจำกัดการขายแร่เหล่านี้ให้กับสหรัฐ ซึ่งการที่จีนประกาศงดการขายแร่หายากให้กับสหรัฐฯ จะส่งผลให้สหรัฐฯตกที่นั่งลำบาก เนื่องจาก ปริมาณการผลิตแร่หายากจากจีนคิดเป็น 81 % ของปริมาณการผลิตแร่หายากทั้งหมดทั่วโลก นอกจากนี้ ปริมาณแร่หายากที่สหรัฐฯนำเข้าจากจีนคิดเป็น 80 % ของปริมาณแร่นำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ ดัชนีภาคการผลิตจีน ดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน จีดีพีไตรมาส 1/62 ยูโรโซน
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 พ.ค. - 31 พ.ค. 62)คือ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 5.13 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 53.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 4.20เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 64.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 64.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดอีกครั้งที่ 12.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางประกอบกับเหตุการณ์น้ำท่วมใกล้แหล่งส่งออกน้ำมันดิบคุชชิ่ง โอกลาโฮมาส่งผลให้ท่อขนส่งน้ำมันดิบซึ่งขนส่งน้ำมันดิบราว 360,000 บาร์เรลต่อวัน ได้รับความเสียหายโดยท่อดังกล่าวสามารถกลับมาดำเนินการได้ในวันถัดมา